การปรับลดเครดิตของไทยโดย Moody’s: สัญญาณเตือนต่อเศรษฐกิจและการคลังไทย

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2568 นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) ได้เตือนถึงผลกระทบจากการที่ Moody’s ปรับลดแนวโน้มเครดิตของประเทศไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนที่ทุกภาคส่วนไม่ควรมองข้าม

เหตุผลที่ Moody’s ปรับลดแนวโน้มเครดิตประเทศไทย

Moody’s ให้เหตุผลในการปรับลดแนวโน้มเครดิตว่า เศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายเชิงโครงสร้างที่สำคัญอยู่แล้ว เมื่อประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาภายใต้การบริหารของประธานาธิบดีทรัมป์ในสมัยที่สอง ยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและวินัยการคลังของไทย สิ่งที่น่าสังเกตคือ การประเมินของ Moody’s ยังไม่ได้นำแผนการกู้เงินเพิ่มเติมที่รัฐบาลไทยกำลังผลักดันมาพิจารณารวมด้วย

ทำไมต้องจับตามองการปรับลดครั้งนี้?

การปรับลด “แนวโน้ม” (outlook) ยังไม่ใช่การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ (credit rating) โดยตรง แต่เป็นการส่งสัญญาณว่าความเสี่ยงของประเทศไทยเพิ่มสูงขึ้น หากพิจารณาจากประสบการณ์ในอดีต บ่อยครั้งที่สถาบันจัดอันดับเครดิตรายอื่น เช่น S&P และ Fitch มักจะปรับตาม Moody’s เช่นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 และ 2551 หากสถาบันเหล่านี้ประเมินว่าความเสี่ยงต่อฐานะการคลังของไทยมีมากพอ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการปรับลดทั้งแนวโน้มหรือแม้แต่อันดับเครดิตในอนาคต ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนการกู้ยืมเงินของรัฐบาลและความน่าเชื่อถือของประเทศโดยรวม

ข้อจำกัดด้านการคลังของไทย: กำแพงคู่ที่บีบให้การคลังขยับตัวได้จำกัด

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับข้อจำกัดสำคัญ 2 ประการที่ส่งผลต่อการดำเนินนโยบายการคลัง:

  1. ข้อจำกัดด้านงบขาดดุล – ตามกฎหมายการคลัง ประเทศไทยสามารถขาดดุลได้ไม่เกิน 20% ของงบประมาณรายจ่ายประจำปี บวกกับ 80% ของงบชำระหนี้เงินกู้ ซึ่งคิดเป็นประมาณ 4.5% ของ GDP เพดานนี้ถูกใช้ไปเต็มแล้วตั้งแต่ปีงบประมาณก่อนหน้า ปีปัจจุบัน และมีการวางแผนใช้เต็มเพดานสำหรับปีงบประมาณหน้าด้วย หากรัฐบาลต้องการใช้เงินเพิ่มเติม จำเป็นต้องออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) หรือพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) กู้เงินเท่านั้น
  2. ข้อจำกัดด้านระดับหนี้สาธารณะ – ปัจจุบันสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP อยู่ที่ 64% และมีการคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 70% ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากมีการกู้เงินเพิ่มในช่วงนี้ อาจทำให้หนี้สาธารณะทะลุเพดานเร็วกว่าที่ควรจะเป็น

การกระตุ้นเศรษฐกิจ: ทำได้ แต่ต้องคิดให้รอบคอบ

การเตือนจาก Moody’s ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลไม่ควรดำเนินมาตรการใดๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะหากเศรษฐกิจชะงักงันและรัฐบาลไม่มีการอัดฉีดเงินเลย ผลกระทบอาจรุนแรงยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่าคือ “จะใช้เงินไปทำอะไร?” มากกว่า “จะกู้เท่าไร” โดยควรพิจารณาแนวทางดังนี้:

  1. หาวิธีใช้เงินที่มีประสิทธิภาพสูงสุด – หากกู้เงินมาเพื่อแจกจ่ายโดยไม่ก่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างแท้จริง สัดส่วนหนี้ต่อ GDP จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่หากใช้เงินกับโครงการที่มีตัวคูณทางเศรษฐกิจ (multiplier) สูง แม้หนี้จะเพิ่มขึ้นแต่ GDP ก็จะเติบโตตามไปด้วย ทำให้สัดส่วนหนี้ต่อ GDP ไม่เลวร้ายจนเกินไป
  2. ต้องมีแผนลดหนี้ที่น่าเชื่อถือ – ตลาดการเงินและสถาบันจัดอันดับต้องการเห็นว่าการกู้เงินครั้งนี้เป็นเพียงมาตรการระยะสั้นในยามจำเป็น และประเทศไทยมีแผนชัดเจนที่จะลดการขาดดุลในอนาคต

ซึ่งหมายความว่าประเทศไทยต้องเริ่มปฏิรูปการคลังอย่างจริงจัง โดย:

  • ลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น
  • ลดการรั่วไหล โดยเฉพาะการคอร์รัปชัน
  • ขยายฐานภาษี และหากจำเป็น ปรับอัตราภาษีบางประเภท

ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield)

มีความเสี่ยงที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยจะปรับตัวสูงขึ้น แต่ในระยะสั้นอาจจะยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก เนื่องจาก:

  1. เศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะอ่อนแอ และอัตราดอกเบี้ยนโยบายมีแนวโน้มที่จะลดลง
  2. ระดับหนี้สาธารณะของไทยยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ แม้จะสูงขึ้นและสูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียน

อย่างไรก็ตาม ตลาดจะให้ความสำคัญกับการใช้เงินกู้และแผนการลดหนี้เป็นหลัก หากเศรษฐกิจไม่เติบโต การใช้เงินไม่คุ้มค่า หรือไม่มีแผนการที่ชัดเจน ตลาดอาจตอบสนองอย่างรุนแรงในระยะถัดไป

บทสรุป

การปรับลดแนวโน้มเครดิตของ Moody’s เป็นเสมือนสัญญาณเตือนที่ชัดเจนจากหนึ่งในสถาบันจัดอันดับชั้นนำของโลก รัฐบาลไทยควรรับฟังและใช้โอกาสนี้ทบทวนนโยบายการคลัง เพื่อให้สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพในระยะสั้น พร้อมกับรักษาความน่าเชื่อถือทางการคลังในระยะยาว

การปรับตัวครั้งนี้ต้องอาศัยความสมดุลระหว่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการรักษาวินัยทางการคลัง ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งนี้ การรอให้ถูกปรับอันดับเครดิตจริงๆ แล้วค่อยดำเนินการอาจเป็นการแก้ปัญหาที่ล่าช้าเกินไป และอาจส่งผลเสียรุนแรงต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาว

การบริหารจัดการการคลังที่เหมาะสมและโปร่งใส การลงทุนในโครงการที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และการมีแผนการชำระหนี้ที่ชัดเจนจะเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่นจากสถาบันจัดอันดับและนักลงทุนทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคต